เมื่อพูดถึงงาน FRP Lining (งานเคลือบไฟเบอร์กลาส) หลายคนก็จะทราบว่าเป็นการเคลือบเพื่อป้องกันการกัดกร่อนจากสารเคมี สามารถยืดอายุการใช้งานพื้นผิว โดยในงานอุตสาหกรรมนั้น ก็มักจะลงทุนกับการเคลือบไฟเบอร์กลาสใน ถังเก็บสารเคมี / บ่อบำบัดน้ำเสีย หรือพื้นผิวต่างๆ ที่ต้องสัมผัสกับสารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนเป็นประจำ เพราะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า สามารถป้องกันให้พื้นผิวมีความทนทาน ใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพไปนานหลายสิบปี การบำรุงรักษาที่ถูกต้องและสม่ำเสมอ จึงเป็นสิ่งสำคัญ
บทความนี้จะแนะนำขั้นตอนง่ายๆ ในการดูแลรักษาผิวงาน FRP Lining ที่โรงงานสามารถทำได้เอง เพื่อ ยืดอายุการใช้งาน และประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงในระยะยาว
1. การตรวจสอบสภาพผิว FRP Lining เป็นประจำ
การเฝ้าระวังคือหัวใจของการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน ควรมีการตรวจสอบผิวเคลือบเบื้องต้น อย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง หรือตามความถี่ที่เหมาะสมกับสภาพการใช้งานจริง
- รอยร้าว หากพบรอยร้าวเล็กๆ บนผิวเคลือบ FRP นี่คือสัญญาณเตือนว่าชั้นป้องกันอาจเริ่มมีปัญหา ควรรีบทำการซ่อมแซมทันที เพราะรอยร้าวดังกล่าว อาจจะนำไปสู่การซึมของสารเคมีเข้าสู่ชั้นไฟเบอร์กลาสโครงสร้างหลัก
- รอยพอง / รอยบวม การเกิดรอยพอง รอยบวม บ่งชี้ว่าอาจมีความชื้นหรือสารเคมีซึมอยู่ใต้ชั้น FRP Lining ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมิน
- การหลุดร่อน คือการแยกตัวของชั้นไฟเบอร์กลาสออกจากพื้นผิวเดิม หรือการแยกตัวระหว่างชั้น FRP ด้วยกันเอง หากพบอาการนี้ หมายความว่าการยึดเกาะล้มเหลว ชั้นป้องกันหมดประสิทธิภาพแล้ว ควรรีบติดต่อช่าง ซ่อม FRP Lining ทันที
- การเปลี่ยนสีผิดปกติ หากผิวเคลือบมีการเปลี่ยนสีอย่างชัดเจน อาจเกิดจากปฏิกิริยาเคมีที่รุนแรง ควรตรวจสอบสเป็กของเรซิ่นที่ใช้งาน ว่าสามารถทนต่อสารเคมีนั้นๆ ได้หรือไม่
2. การทำความสะอาดอย่างถูกวิธี
การสะสมของคราบเคมี หรือของเสีย อาจทำให้ผิว FRP เสื่อมสภาพเร็วขึ้น การทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอช่วยขจัดคราบสะสมที่อาจมีฤทธิ์กัดกร่อนเล็กน้อยในเบื้องต้นได้
- การชะล้างด้วยน้ำสะอาด ในกรณีทั่วไป เพียงแค่ใช้น้ำสะอาดและแรงดันที่เหมาะสมในการชะล้างคราบสกปรกก็เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงการใช้แปรงโลหะหรือของแข็งขูดผิว FRP ขณะทำความสะอาด พื้นผิวที่เคลือบ FRP ควรระมัดระวังไม่ให้วัตถุแข็งหรือเครื่องมือไปกระแทกหรือขูดขีดอย่างรุนแรง เพื่อไม่ให้เกิดรอยขีดข่วนที่อาจนำไปสู่การแตกร้าว
3. การซ่อมแซมความเสียหาย
ความเสียหายเล็กน้อย หากปล่อยไว้ อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ในระยะยาว การจัดการกับรอยร้าว หรือรอยบิ่น ของ FRP Lining ทันที จึงเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาประสิทธิภาพการป้องกันการกัดกร่อน
- ซ่อมเฉพาะจุด หากพบความเสียหายเล็กน้อย ควรซ่อมเฉพาะจุดทันที จะช่วยป้องกันไม่ให้ความเสียหายเป็นรอยกว้าง
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หากความเสียหายกินพื้นที่กว้าง หรือรอยร้าวลึกถึงชั้นโครงสร้างหลัก ควรเรียกทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญด้าน งานซ่อม FRP เข้ามาประเมินและดำเนินการซ่อมแซมอย่างถูกวิธี
4. การควบคุมสารเคมีและอุณหภูมิ ให้ใช้งานตรงตามเกรดของเรซิ่น
งาน FRP Lining ถูกออกแบบมาให้รองรับสารเคมีและอุณหภูมิในช่วงที่กำหนด หากอุณหภูมิสูงเกินขีดจำกัดที่เรซินทนได้ จะทำให้เรซินเสื่อมสภาพเร็ว ผิวงานถูกกัดกร่อน หรือหากมีการเปลี่ยนชนิดสารเคมี หรือเพิ่มความเข้มข้นโดยไม่แจ้งผู้เชี่ยวชาญ อาจทำให้
- ตรวจสอบขีดจำกัดอุณหภูมิ ต้องมั่นใจว่าอุณหภูมิในการใช้งาน (ทั้งอุณหภูมิของสารเคมีและอุณหภูมิภายนอก) ไม่เกินค่าที่กำหนดไว้สำหรับเรซินชนิดนั้นๆ (เช่น เรซิน Isophthalic, Vinyl Ester)
- การเปลี่ยนแปลงสารเคมี หากมีการเปลี่ยนชนิดหรือเพิ่มความเข้มข้นของสารเคมีในการใช้งาน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบว่า FRP Lining ที่เป็นอยู่ ยังคงทนทานต่อสภาวะใหม่ได้หรือไม่
5. ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ FRP Lining เป็นระยะ
นอกจากการตรวจสอบของโรงงานเองแล้ว ควรมีการเรียก บริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านงาน FRP Lining เข้ามาตรวจเช็กสภาพงานเคลือบไฟเบอร์กลาสอย่างละเอียดเป็นระยะ (เช่น ทุก 1-2 ปี) ถือเป็นการลงทุนเพื่อ PM (Preventive Maintenance) FRP Lining ที่คุ้มค่าที่สุด ในการใช้งานระยะยาว
- ตรวจสอบความหนาของชั้นเคลือบ เพื่อประเมินว่าความหนาของ FRP ยังเพียงพอต่อการป้องกันการกัดกร่อนตามสเปคที่กำหนดไว้หรือไม่
- ตรวจสอบความแข็ง เพื่อประเมินความแข็งของผิวเคลือบ FRP ด้วยเครื่องมือเฉพาะทาง เพื่อยืนยันว่าเรซินยังมีความแข็งแรง และทนทาน ต่อการขีดข่วนและการสึกหรอตามที่สเปคกำหนด
- ตรวจสอบรอยรั่วและจุดเสี่ยง ใช้เครื่องมือเฉพาะทางในการหาจุดบกพร่องที่อาจเกิดการซึมหรือรั่วได้ง่าย
การดูแลรักษางาน FRP Lining ไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก และควรทำอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธี การให้ความสำคัญกับการตรวจสอบและทำความสะอาดง่ายๆ เหล่านี้ จะช่วยให้ งานเคลือบไฟเบอร์กลาส ในโรงงานของคุณมีประสิทธิภาพในการป้องกันการกัดกร่อนไปอีกหลายปีอย่างแน่นอน
